วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Strategy Price Movement: กลยุทธที่เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวของราคาสำหรับ TFEX

การเคลื่อนไหวของราคาสำหรับ Set50 index future จะมีลักษณะที่แตกต่างกันเมื่อผ่านช่วงเวลาผ่านไป การสร้างกลยุทธที่มีความเหมาะสมกับลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาจะสร้างความได้เปรียบในการเทรดในแบบ Directional Trading Style หรือการกินส่วนต่างราคา บทความจะแนะนำกลยุทธที่เหมาะสมกับการเคลื่อนไหนราคารวมทั้งแนะนำตัวอย่าง indicator ที่เหมาะกับกลยุทธเหล่านั้น

การเคลื่อนไหวของราคาจะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง เมื่อระยะเวลาผ่านไปการลักษณะจะเปลี่ยนจากรูปแบบนึงไปอีกรูปแบบนึง ถ้าใช้กลยุทธที่รับมือกับลักษณะนึงได้อาจจะใช้ไม่ได้เมื่อเจอสภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
ในการเริ่มต้นการใช้กลยุทธที่สร้างความได้เปรียบจะต้องเข้าใจลักษณะของการเคลื่อนไหวของราคา เพื่อหาจุดอ่อน จุดแข็งที่จะสร้างชุดของแผนการที่รวมเป็นกลยุทธ

กลยุทธหรือ Strategy จะเป็นชุดของแผนการ Plan ที่จะระบุถึงวิธีการขั้นตอนในการรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ กลยุทธจึงเป็นชุดของแผนการที่ตอบสนองเป้าหมายอย่างเดียวกัน การมีแผนการหลากหลายอาจมีลักษณะที่เป็นแผนเชิงรุก และแผนเชิงรับ เพื่อตอบสนองเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน

การที่จะสร้างแผนการ Plan เพื่อนำไปสร้างเป็นกลยุทธ Strategy ได้จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ลักษณะรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาหรือ Price Movement ว่ามีลักษณะเช่นใด จุดใดที่เราจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ จุดใดต้องระมัดระวังออกแบบแผนป้องกันไว้อย่างระมัดระวังและรอบคอบ

การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวราคา อาจเรียกว่า Technical Analysis การวิเคราะห์ทางปัจจัยทางเทคนิค ในอดีตหรือยุคก่อนที่จะใช้ computer เข้าช่วยเหลือทำการซื้อขาย trade สินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำหรือ future อย่างเช่น Set50 index future (Future เกิดขึ้นยุคแรกในสินค้าเกษตร สมัยนั้นยังไมมี computer ไว้ใช้งาน) มักจะรวบรวม Pattern หรือ catalog สิ่งทีเกิดขึ้นแล้ว และคาดว่าเป็นรูปแบบที่ซ้ำ เกิดขึ้นแล้วก็มีโอกาสเกิดขึ้นอีกบ่อยๆ
การพัฒนาการจัดทำ Pattern Catalog จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูมากเมื่อมี computer เข้ามาใช้งาน จัดเก็บแยกประเภทให้ computer จัดแยกและตรวจจับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเทียบ jigsaw ส่วนที่หายไป การจัดทำ pattern และความพยายามในการทำนายอนาคตเพื่อสร้างความได้เปรียบจาก pattern หรือ jigsaw ที่ขาดหายไป เริ่มกลายเป็นความหวังอันรุ่งโรจน์ของนักลงทุน
ถ้านักลงทุนรู้ pattern ที่จะเกิดขึ้นซ้ำทั้งหมด ก็จะต้องสามารถทำนายอนาคตได้ทั้งหมด

ถ้าพิจารณาดูวิธีการสร้างแผนจาก pattern ราคาที่เกิดขึ้นแล้วทำนายอนาคตที่จะเกิดซ้ำ pattern ที่ขาดหายไป วิธีการหรือแผนการเหล่านี้จะเหมือนกับการทำบางอย่างโดยทั่วๆไปที่ต้องใช้การตัดสินใจ  decision และ chance โอกาสที่จะสำเร็จหรือล้มเหลว ถ้านึกอย่างรอบคอบจะมีโอกาสล้มเหลวได้เสมอ ไม่มีทางที่จะสำเร็จถูกต้องเพียงอย่างเดียว
เนื่องจากความไม่แม่นยำ แนวคิดที่ว่าเรารู้ pattern ในอดีตแล้วจะทำนายอนาคตได้จะเริ่มไม่ใช่ความคิดที่ดีอีกต่อไป ความไม่แม่นยำจะสร้างทั้งสิ่งที่คาดและเหนือคาด ต่ำกว่าคาดการณ์ได้เสมอ ถ้ามีสิ่งที่ไม่ตรงกับสิ่งที่คาดการณ์ไว้ ความน่าเชื่อในการทำนายก็จะมีค่าอยู่อย่างจำกัด ไว้ใจแบบสนิทใจไม่ได้ ต้องมีแผนการรองรับความไม่แม่นยำเหล่านั้นไว้เสมอ

เมื่อ computer เพื่อการวิจัยพร้อมด้วยการสร้างเครื่องมือการทดสอบทางสถิติ พัฒนามาพร้อมกับเทคโนโลยีในสาขาอื่น โดยเฉพาะสาขาคณิตศาสตร์สถิติ การทำนายอนาคตโดยใช้ pattern ในอดีต ก็จะถูกเปิดเผยในกลุ่มนักวิจัยที่นำปัญหาความแม่นยำของ pattern เหล่านั้นมาทดสอบ ก็จะพบสิ่งที่เผยสภาพ หรือความสามารถที่แท้จริงของ Technical Analysis แบบ pattern ที่ทำนายอนาคตว่ามีประสิทธิภาพดีเพียงใด การทดสอบความเชื่อเหล่านี้จะทำได้ไม่ยากนัก ขอให้มี ทฤษฏีที่ต้องการทดสอบ ที่เป็นเงื่อนไขที่เปลี่ยนเป็น logic ทางคณิตศาสตร์ได้ มี ><=,+- */ ก็จะแปลงทุกอย่างให้กลายเป็นคณิตศาสตร์ได้
ใช้ข้อมูล+data ในอดีตกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทดสอบกลยุทธหรือ plan เหล่านั้นก็จะได้ความจริงออกมา ทดสอบด้วยลักษณ Robust คือเปลี่ยนสินทรัพย์ ช่วงเวลา เลือกลักษณะ Price Movement ออกมาทดสอบก็จะยิ่งเผยความเป็นจริงมากขึ้น

ผลการทดสอบไม่ว่าจะกี่ครั้งก็จะให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันคือเราไม่สามารถทำนายอนาคตในระยะสั้นให้แม่นยำ แต่ในระยะยาวจะพอบอกแนวโน้มของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ถ้าให้ฟันธงว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่แม่นยำนัก แต่ถ้าให้บอกว่าแนวโน้มจะเกิดอะไรขึ้นจะใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
อาจจะมีข้อโต้แย้งจากเทพพยากรณ์ทั้งหลายที่ให้คำพยากรณ์จากทฤษฎีที่กล่าวอ้างว่า การแปลงทฤษฎีเหล่านั้นเป็นคณิตศาสตร์อาจไม่ตรงกับแนวคิดดั้งเดิม ที่ในบางครั้งก็จะเลือกพิจารณา หรือไม่เลือกพิจารณาบางปัจจัย แต่ก็อย่าลืมว่าถ้ามีลักษณะเงื่อนไขที่เป็นเหตุผลทำแบบเดิมซ้ำได้ ก็ไม่ได้ยากที่จะเปลี่ยนเป็น logic อาจเป็นการละเลย ปกปิด หรือไม่รอบคอบในการแปลงทฤษฎีเป็นคณิตศาสตร์ไม่ใช่ความจำกัดของคณิตศาสตร์ ถ้าต้องการจะเปลี่ยนทฤษฎีเป็นคณิตศาสตร์ทุกเงือนไขที่อธิบายได้จะกลายเป็นคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะยากหรือง่าย ก็ทำได้ทั้งนั้น

กลับมาในสิ่งที่เราจะสามารถทำงานได้ในการปฏิบัติจริง ถ้าเรารู้ว่าเราทำนายอนาคตในระยะสั้นไม่ได้ แต่ในระยะยาวพอจะบอกแนวโน้มได้อย่างไม่ยากนัก การสร้างกลยุทธก็พอจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

Price Movement

ในภาพกว้างการเคลื่อนไหวของราคาจะมีสองลักษณะสับเปลี่ยนกันไป โดยมีลักษณะดังนี้ Sideway , Trend

Sideway คือการที่ราคาเคลื่อนไหวในระยะทางที่จำกัดในช่วงระดับราคานึง ย้อนกลับไปมา ถ้าแกน x แกนนอนเป็นช่วงเวลา แกน y แกนตั้งเป็นระดับราคา แล้วนำราคามา plot จะได้รูปในลักษณะเหมือน ฟันเลื่อย ภูเขาหลายลูก ทางคดเคี้ยวถ้ามองจากมุมสูง ลักษณะ sideway นี้มักจะเป็นลักษณะที่พบมากในการเคลือนไหว กินเวลาเกือบ 80% ที่เกิดขึ้น เคลือนไหวอยู่ในช่วงระดับราคาเดิมๆอย่างยาวนาน
Trend คือการทีระดับราคาเปลี่ยนจากระดับนึงไปสู่ระดับนึงในขนาดที่มากอย่างสังเกตเห็นได้ชัดเจน แตกต่างจาก sideway ถ้านำมา plot จะเหมือนการไต่ขึ้นภูเขาในขาขึ้น และกระโดดลงหน้าผาเมื่อเกิดขาลง การได้กำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นเมื่อเป็น trend จะมีปริมาณมหาศาลอย่างคาดไม่ถึงว่าจะเกิดสิ่งแบบนี้ได้ การเกิดขึ้นของ trend จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ อาจใช้เวลาแค่ 20% ของเวลาทั้งหมด ซึ่งจะสร้างความปลื้มปิติหรือผิดหวังอย่างรุนแรกได้ในเวลาอันสั้น

ถ้านำเหตุการณ์มาต่อเนื่องกัน sideway จะกินเวลายาวนาน ระดับราคาจะเปลี่ยนไปมาในระดับเดิมๆที่สังเกตเห็นได้ง่ายว่าราคาจะไปหยุดที่ตำแหน่งใดเหมือนจะคาดเดาได้ ถ้าใช้ไม้บรรทัดมาทาบจุด peak ที่่ผ่านมา เมื่อเหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนแรง trend จะเกิดขึ้น เปลี่ยนระดับราคาอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนระดับไปอย่างเห็นได้ชัดในระยะเวลาอันสั้น trend สิ้นสุด อาจจะตามมาด้วย counter trend ย้อนระดับราคากลับไปที่จุดเหมาะสม การเกิด trend มักจะสร้าง panic พฤติกรรมแห่ทำตามกันเสมอ ไม่ว่าจะเป็น panic buy ปั่นราคาล่อแมงเม่า หรือ panic sell ทุบราคาอย่างต่อเนื่องก็จะสร้างระดับราคาที่เกินจริง แถมไปจากระดับราคาที่ควรจะเป็นได้ เมื่อกลับมาที่ระดับราคาที่เหมาะสม( แนวคิดนี้ถ้าพยายาทำนายว่าระดับใดเหมาะสมผลลัพธ์ก็เหมือนการทำนายทั่วๆไป ) ก็จะสร้าง sideway ให้ผู้ที่มีประสบการณ์ผ่าน trend มาแล้วติดใจกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วแต่ก็ผิดหวังเมื่อ sideway มาเยือน สิ่งที่หวังจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง

Strategy และ Indicator ที่เหมาะกับ Price Movement

เมื่อเข้าใจลักษณะธรรมชาติของการเคลื่อนไหวของราคา ขั้นต่อมา เราจะสามารถเลือกตำแหน่งหรือกลยุทธที่ได้จะสร้างความได้เปรียบในการเก็งกำไร หรือกินกำไรส่วนต่างได้ 

Sideway เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคามีการเคลื่อนไหนอยู่ในช่วงแคบๆ เป็นระยะขอบเขตที่ซ้ำตำแหน่งเดิม การคาดเดาเป็นสิ่งที่พอจะเป็นไปได้ กลยุทธที่เหมาะสมสำหรับ sideway จะใช้วิธีการไปดักที่ปลายทางของการเลี้ยวกลับของราคา ถ้าระดับราคามาถึงตำแหน่ง reversal point ก็ให้สร้าง position สวนทิศทางเดิมเพื่อหวังที่จะกินกำไรส่วนต่างเมื่อเกิดการ reversal แล้วสร้างส่วนต่างราคาขึ้นมา การทำเช่นนี้จะสามารถใช้ indicator ชนิดที่เป็นแบบแกว่ง oscillator เช่น stochastic RSI หรือ macd ตัด signal ในการกำหนดจุดเข้าออกได้
การประยุกต์ใช้ RSI ยังสามารถสร้างแนวรับแนวต้าน หรือจุด reversal ได้โดย เลือจุดที่ RSI เลี้ยวกลับหรือ peak ไม่ว่าจะเป็นค่ามากหรือ peak ค่าน้อยแล้ว RSI มีการเลี้ยวกลับก็จะตรงกับการเคลื่อนไหวเลี้ยวกลับของราคา 
แนวรับที่สร้างจากการดูที่ราคาเลี้ยวกลับหรือ RSI เลี้ยวกลับก็จะได้ผลลัพธ์แนวรับแนวต้านเดียวกัน
ถ้าใช้ stochastic การใช้งานก็เพียงแค่ %K,%D ตัดกันซึ่งทุกกราฟทางเทคนิคจะมีเครื่องมือดังกล่าวให้ใช้งานเป็นปกติ การตัดกันของ %K,%D มักจะตัดกันหลัง reversal point
RSI overbought oversold เป็นการกำหนดระดับ RSI level ที่ 30-70 ซึ่งผลลัพธ์ในระยะยาวสามารถดูได้ใน บทความ systematic trading  
macd ตัด signal ก็จะมีลักษณะที่เคลื่อนไหวคล้ายกับ stochastic แต่จะมีการตอบสนองที่ช้ากว่า และสามารถดูผลระยะยาวได้บทความเดียวกัน

การใช้กลยุทธ sideway ด้วยเทคนิคหรือ indicator ต่างๆจะสร้าง transaction จำนวนมากเพราะ ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของการเคลื่อนไหวราคาจะเป็นลักษณะ sideway ตำแหน่งที่เป็น reversal point จะมีจำนวนมาก ถ้าใช้กลยุทธ sideway ในปีนึงๆที่ timeframe ในระดับ intraday อาจสร้าง transaction ได้มากถึง 300 transaction ต่อปีหรือ วันละ 1 transaction ในทิศทางใดทิศทางนึง และถ้าลองคิดเรือง commission ที่เกิดขึ้น ผู้ที่ใช้กลยุทธนี้อาจเริ่มเห็นถึงความสำคัญอย่างจริงจังของการสร้าง transaction จำนวนมาก
ถ้ากล่าวถึงความแม่นยำ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทดสอบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับทฤษฏีเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่
ถ้ากล่าวถึงขนาดกำไร ขนาดขาดทุน ก็ควรเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบพอๆกับความแม่นยำ เพราะการลงทุนไม่ใช่การพนันที่ความแม่นยำถูก jackpot หรือรางวัลใหญ่เพียงครั้งเดียวจะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมาก 
ความแม่นยำ และขนาดกำไรขาดทุน ต้องพิจารณาควบคู่อย่างระมัดระวังและรอบคอบเสมอก่อนที่จะใช้กลยุทธดังกล่าวในการลงทุนจริง

 Trend การเคลื่อนไหวจะมีลักษณะเปลี่ยนระดับราคาได้อย่างมากแบบคาดไม่ถึง( ถ้าทำนายได้ใกล้เคียงความจริงมักจะยังคงเป็น sideway อยู่ ) ในรูปแบบของ trend ขาขึ้นอาจเริ่มจากความชันของการเปลี่ยนแปลงราคาในแกนเวลาและราคาไม่มากนัก อาจดูไม่มั่นใจว่าเป็น trend จริงหรือไม่ เมื่อทุกอย่างพร้อม ความชันของราคาจะมีลักษณะเพิ่มความชัน ระดับราคาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายจะสิ้นสุดด้วยการสร้างความชันอย่างมาก peak ทั้งราคาและ volume ซึ่งเป็นลักษณะ panic buy เมื่อทุกคนได้ของที่อยากได้ ความอยากก็จะเหือดแห้งหายไป เหลือไว้แต่ภาพอดีต
ใน trend ขาลง จะเริ่มจากขาขึ้น ในครั้งแรกที่ trend เปลี่ยนทิศการเคลื่อนไหวครั้งแรกมักจะความคาดไม่ถึงได้เสมอ ทั้งเรื่องข่าว ปัจจัย ช่วงเวลา หรือขนาดราคา จะตกอะไรได้ขนาดนี้ หนียังไงก็หนีไม่ทัน การหนีไม่ทันแล้วไม่ยอมพ่ายแพ้ มักจะจบลงด้วยการติดดอยในหุ้น แต่ถ้าเป็น tfex โดยเฉพาะ future ที่มี leverage สูง วางเงินประกันประมาณ 10% ของมูลค่าจริง ถ้าไม่ยอมแพ้ก็จะถูก check bill ให้เติมเงินซึ่งเป็นบทสรุปสุดท้ายของเกมส์นี้

ขาลงเมื่อตกลงอย่างรุนแรงในการเปลี่ยนทิศทางครั้งแรก ในระยะกลางจะคลื่นไหวในลักษณะ sideway แต่เป็นแบบ swing ในระดับราคาที่มาก แกว่งรุนแรง เพราะตลาดเริ่ม panic ค้นหาว่าอะไรคือสาเหตุซึ่งก็คงยังไม่รู้กันจริงจัง ลงแรงบางท่านก็บอกว่าถูกจึงสวนทิศทางกลับไป บางท่านบอกมีเท่าไหร่ขายให้หมด เพราะถือไว้มีแต่จะกินกำไรที่ได้มาแล้ว ก็จะถูกทุบแบบขายทุกราคา เมื่อผู้ขายขายของได้เกือบหมดตามที่ต้องการ ข่าวหรือปัจจัยในช่วงนั้นจะเป็นที่ชัดเจน จนทราบกันทั่วทั้งตลาด เหตุผลจะยืนยันในทิศทางว่าต้องดำเนินต่อไป ก็จะมาถึงช่วงสุดท้ายของ trend คือ panic sell ทุกคนขายพร้อมกันหมด เพราะไม่มีอะไรให้หวังต่อไปอีกแล้ว ราคาจะถูกกดหรือขายทุกราคาดิ่งอย่างน่าตกใจเพราะส่วนมากจะไม่มีการมารับซื้อ ยิ่งขายผู้ซื้อก็หายไป การขายทุกราคา เห็นตั้งรับที่ไหนก็ขอขายไว้ก่อนจึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง การ peak ของ volume panic sell จะมีขนาดใกล้เคียงกับ panic buy แต่การ swing ของราคาจะรุนแรงอย่างเหลือเชื่อ order ที่รับซื้อมีน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการขาย

การเลือกใช้ indicator สำหรับ trend จะใช้หลักการเมื่อมี trend ที่ไหน ก็จะอยู่ใน trend นั้นให้นานตราบนานเท่านานจนกว่า trend นั้นจะสิ้นสุดลง ซึ่ง indicator ทีใช้จะมีตั้งแต่ EMA 
EMA จะเป็นเส้นค่าเฉลี่ยของอดีตคำนวณมาถึงปัจจุบันตาม parameter ที่กำหนดไว้ โดยการใช้งานจะใช้ EMA 1 เส้น , EMA 2 เส้น, EMA หลายเส้นก็จะให้จังหวะซื้อขายแบบ trend ได้เช่นเดียวกัน
EMA 1 เส้นเมื่อค่าปัจจุบันเทียบกับอดีตก็จะบอกได้ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ซื้อขายไปตามทิศนั้น
EMA 2 เส้น จะใช้การตัดกันของ EMA ที่มี period สั้น ตัดกับ EMA period ยาว , จะเป็นการกรองการเคลื่อนไหนวที่เกินความจำเป็นของ EMA เส้นเดียว มีระยะเผื่อให้การเคลื่อนไหวที่เป็น noise ไม่สร้าง signal ขึ้นมา
EMA หลายเส้นจะใช้งานเหมือน EMA 2 เส้น แต่จะมีเงื่อนไขก่อนที่จะเกิด signal เช่นการเรียงตัวกันของ เส้น period สั้นยาว

การใช้งาน EMA 1 เส้นอาจใช้เป็นแนวรับแนวต้านในลักษณะ sideway ได้ แต่จากการทดสอบพบว่าเป็นได้แค่แนวเตือนเพราะ ไม่มีราคาจริงๆที่จะสร้าง reversal point บน EMA เลย แต่ถ้าเพิ่มส่วนเผื่อเช่น +- เข้าไปก็อาจประยุกต์ใช้งานได้

การใช้กลยุทธ trend จะมีความแม่นยำที่ไม่ดีนักเพราะ ในช่วงเวลาส่วนมากของตลาดจะอยู่ในลักษณะ sideway ถ้าใช้กลยุทธ trend โอกาสที่จะถูกต้องแม่นยำจะมีโอกาสน้อย แต่ถ้าตลาดมีสภาวะ trend เกิดขึ้นขนาดกำไรของ trend จะมีขนาดที่น่าสนใจมากเพราะกำไรที่เกิดใน trend จะมากอย่างคาดเดาไม่ได้ (จริงๆจะคาดเดาได้ถ้าใช้กลยุทธแบบ trend ไปเรื่อยๆจะพอตัวเลขที่พอกะประมาณได้ )

Robust ความทนทาน: กลยุทธใดๆจะดีในบางสภาวะตลาด

การสร้างกลยุทธให้เหมาะกับการเคลื่อนไหวของราคาจะสร้างความได้เปรียบในการกินกำไรส่วนต่าง กลยุทธที่เหมาะสมกับสภาพตลาดมากที่สุดจะสร้างกำไรให้ได้อย่างมาก ในหลายต่อหลายครั้งเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนไปกลยุทธที่เคยใช้ได้ดีกลับสร้างความน่าผิดหวัง บางครั้งอาจสร้างความเสียหายร้ายแรง ทำอย่างไรก็ผิดไปหมด
มีความพยายามที่จะเปลี่ยนกลยุทธเมื่อตรวจพบว่าตลาดเปลี่ยนสภาพไป เพื่อให้กลยุทธเหมาะสมกับสภาวะตลาด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะไม่เป็นไปตามอย่างที่คาดหวัง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจริงๆแล้ว สภาวะของตลาดเป็นลักษณะใด แม้จะบอกสภาวะตลาดในอดีตได้ แต่ก็มักจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอนาคต ถ้าเรารู้อนาคตจริงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างแผนหรือกลยุทธแต่อย่างใด ผลที่เกิดขึ้นคือเราจะไม่สามารถใช้กลยุทธที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดและสร้างกำไรได้อย่างดีตลอดไป
ความเป็นจริงที่เราไม่สามารถที่จะล่วงรู้อนาคตได้ จึงเป็นที่มาของการสร้างระบบที่ทนทานมีความ Robust

Robust ในเริ่มต้นจะหมายถึงทนทานต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปเปลี่ยนจาก sideway ไปเป็น trend แล้วกลับมาที่ sideway ระบบที่ robust ก็ยังอยู่รอด ซึ่งทำงานร่วมกันระหว่างกลยุทธฝ่ายป้องกันและกลยุทธเชิงรุก ป้องกันให้ขาดทุนอย่างแก้ไขได้ รุกไปเอากำไรที่เหมาะสมและเพียงพอให้การ trade ยังคงดำเนินต่อไปได้ ถ้าการ trade ดำเนินต่อไปโดยไม่ต้องขอเพิ่มทุน ระบบดังกล่าวก็จะเป็นธุรกิจธรรมดาที่ทำได้ตลอดไปเหมือนระบบ TFEX Ranger ที่ไม่ต้องคาดเดาสิ่งใดเลยและมีความทนทาน Robust ที่ไม่ต้องเติมเงินแต่อย่างใด
Robust ในระดับชั้นถัดมาจะหมายถึง สินทรัพย์ที่เปลี่ยนไประบบก็ใช้ trade ทำงานได้ดีในหลายๆสินทรัพย์ ถ้าสร้าง Multi-Asset Strategy ขึ้นมาได้จะนำมาสู่ Sustainable System ระบบที่ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
โดยปกติ ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆจะมีแค่บาง Asset เท่านั้นที่น่าสนใจ มีผู้เล่นจำนวนมาก การย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ใหม่โดยยังคงใช้ Strategy คล้ายเดิม เป็นงานที่ผู้จัดการกองทุนทั่วโลก หรือนักลงทุนมืออาชีพต่างพยายามทำสิ่งนี้กันอยู่ เพราะหมายถึงรายได้ที่ทำได้สม่าเสมอทุกปี  Asset นี้ไม่น่าสนใจก็เปลี่ยนไปเป็นชนิดอื่น โดยคง Strategy ดังเดิม ไม่จำเป็นต้องวิจัยสร้างขึ้นมาใหม่

การเพิกเฉยไม่ยอมรับความเป็นจริงที่ว่า กลยุทธใดๆจะใช้ได้ดีในบางช่วงเวลาเท่านั้น จะแสดงออกในสภาพการดีใจเกินพอดี เพราะมืออาชีพโดยทั่วไปจะรู้ว่าเมื่ออะไรดูดีเกินไป จะตามมาด้วยสภาวะที่ตรงกันข้ามในไม่ช้า เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ยากที่เกิดความประมาทจนแสดงความยินดีเกินงาม เมื่อตลาดเริ่มเปลี่ยนสภาพ แผนเชิงรับจะมีความสำคัญมากกว่าแผนเชิงรุก และเมื่อตลาดเหมาะสมแผนเชิงรุกควรทำงานได้อย่างดี ไม่พลาดโอกาสที่นานๆจะเกินขึ้นที่กลยุทธจะเหมาะกับตลาด

บทสรุป

เนื่องจากเราไม่สามารถล่วงรู้อนาคตได้ว่าสภาวะตลาดจะเป็นลักษณะใด แต่เรารู้ว่าในอดีตตลาดมีลักษณะใดบ้าง การออกแบบกลยุทธที่ทนทานเมื่อตลาดไม่เหมาะกับตลาดคือ ฆ่าไม่ตาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อตลาดกลับมาตามรูปแบบที่คาดหวังกลยุทธก็คว้าโอกาสแบบนั้นไว้ได้อย่างดี จึงเป็นสิ่งควรกระทำอย่างยิ่ง ออกแบบกลยุทธที่ใช้งานได้ดีในหลายสภาวะตลาดแม้จะไม่กำไรทุกช่วงเวลาแต่ถ้าอยู่รอดได้ ไม่ว่าอย่างไรกำไรรวมจะเหลือเสมอ ถ้ามีโอกาสก็ควรสร้างกลยุทธที่ย้าย Asset หรือทำ diversified ได้ในกรณีที่เราประเมินไม่ได้ว่า Asset ใดจะน่าสนใจเพราะเป็นเรื่องอนาคต จึงทำการ trade ไปพร้อมๆกันในหลาย Asset ด้วยกลยุทธที่คล้ายๆกัน ก็จะสร้างความสม่ำเสมอของรายได้ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ยั่งยืนยาวนาน

However beautiful the strategy, you should occasionally look at the results.
Winston Churchill



คลิ๊กที่ภาพเพื่อดูรายละเอียด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น